เดี๋ยวนี้เครื่องสำอางมีให้เลือกเยอะแยะมากมาย เวลาไปช้อปกันทีนี่ละลานตาไปหมด ของเล่นใหม่ๆออกมาเต็มเลย เห็นอะไรก็อยากได้ไปหมด ดิฉันเข้าใจดีค่ะ แต่ก็มีข้อควรระวังอยู่ 7 ข้อ ที่สาวควรดูก่อนการตัดสินใจซื้อ จะได้ไม่เสียดายตังค์ ไม่เสียดายเวลา จะมีอะไรบ้างนั้นไปชมกันเลยคร่า~

1. ดูว่าจะซื้ออะไร

เช่น ถ้าสาวๆจะซื้อลิปสติกสักแท่งหนึ่ง ก็ควรจะคิดก่อนด้วยว่าวันนี้จะซื้อลิปสติกเนื้อแบบไหน เนื้อครีม เนื้อแมทท์ หรือจะลิปกลอส แล้วก็ให้พุ่งไปที่ลิปสติกเท่านั้นค่ะ อย่าวอกแวกค่ะ เพราะจากสาวๆส่วนใหญ่มักจะได้ของอย่างอื่นมาแทนของที่ตั้งใจไปซื้อเสมอ ดังนั้นซื้อของที่ตั้งใจไว้ก่อน แล้วค่อยมาเดินชมของอย่างอื่นทีหลังนะคะ

Image source : luxurylaunches.com

2. ดูสภาพผิวของตัวเอง

เช่น ถ้าสาวๆจะซื้อสกินแคร์สักขวดหนึ่ง ก็ต้องดูว่าผิวของตัวเองเป็นแบบไหน ผิวมัน ผิวแห้ง ผิวผสม หรือผิวแพ้ง่าย จากนั้นก็เลือกสกินแคร์ให้เข้ากับสภาพผิวค่ะ จะได้สามารถใช้งานได้จริง ไม่ต้องเหลือทิ้งให้เสียดายของนะคะ

สำหรับผิวแพ้ง่าย                            สำหรับผิวผสมหรือผิวมัน

Image source : www.bioderma.com

3. ดูโทนสี

เครื่องสำอางทุกอย่างต้องเลือกสีให้เข้ากับสีผิวของตัวเองด้วยค่ะ อย่างเช่น รองพื้นสีก็ต้องตรงกับสีผิว บลัชออนสีก็ต้องเข้ากับสีผิว ส่วนลิปสติกก็เช่นเดียวกัน อย่าไปเลือกสีที่ไม่เข้ากับผิว ทาแล้วสีไม่ติดมาเด็ดขาดค่ะ เสียดายเงิน!

Image source : www.muastore.co.uk

4. ดูส่วนผสม

สาวๆที่ผิวแพ้ง่าย ต้องระวังในเรื่องเครื่องสำอางที่ผสมแอลกอฮอล์และน้ำหอม ขืนซื้อไปไม่ได้ดูก็อาจจะทำให้แพ้ได้ค่ะ ตรงฉลากเขาจะระบุไว้ชัดเจนอยู่แล้วว่าผลิตภัณฑ์นั้นไม่มีอะไรบ้าง เช่น Alcohol free = ไม่ผสมแอลกอฮอล์, Fragrance free = ไม่ผสมน้ำหอม, Paraben free = ไม่ผสมสารกันเสีย (ก่อให้เกิดมะเร็ง) เป็นต้นค่ะ

Image source : www.bioderma.com

4. ดูวันผลิตและวันหมดอายุ

เครื่องสำอางบางชนิดจะระบุวันหมดอายุไว้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่ไม่ผสมสารกันเสีย และเครื่องสำอางบางอย่างก็จะไม่ระบุวันหมดอายุ แต่จะระบุวันผลิตแทน เพราะว่าอายุการใช้งานของมันจะเริ่มนับก็ต่อเมื่อเปิดใช้ โดนส่วนใหญ่ มาสคาร่าจะมีอายุ 3-6 เดือน (หลังเปิดใช้), ลิปสติกหมดอายุภายใน 2 ปี (หลังเปิดใช้), รองพื้นหมดอายุภายใน 1 ปี (หลังเปิดใช้) เป็นต้นดังนั้นสาวๆก็ต้องดูด้วยว่าอะไรเปิดใช้นานได้เท่าไร จากนั้นก็ทำการโละเครื่องสำอางเก่าๆออกบ้างค่ะ

Photo by : Fiercebook.com

5. ดูว่าชอบไหม (ต้องลอง)

ของอย่างนี้ดูอย่างเดียวไม่รู้หรอกค่ะว่าชอบไหม มันต้องลองค่ะ ถ้ามีเทสเตอร์ให้ลองก็ลองไปเลยว่าชอบไหม ถ้าเป็นเครื่องสำอางที่มีเคาน์เตอร์แบรนด์ก็ลองถาม BA ดูว่ามีเทสเตอร์ไหม ขอเขามาลองใช้ดู ถ้าชอบค่อยซื้อ ไม่ชอบก็ไม่ต้องซื้อค่ะ จะซื้อทั้งทีต้องลองให้แน่ใจ ลองแบรนด์อื่นที่คล้ายๆกันด้วย จะได้เอามาเปรียบเทียบว่าชอบอันไหนมากกว่ากันค่ะ 

Image source : www.facebook.com/Lola.thailand

6. ดูราคา

สำคัญเลยค่ะข้อนี้ ต้องดูว่าราคาสมเหตุสมผลกับคุณภาพรึเปล่า ถ้าของดีจริงๆ ราคาสูงหน่อยก็ลงทุนไปเลย เครื่องสำอาง 1 ชิ้นก็ใช้ได้นาน ถ้ามีแบรนด์อื่นที่คุณภาพเท่ากันแต่ถูกกว่า ก็เลือกที่คุณภาพเถอะค่ะ ยังมีเครื่องสำอางอย่างอื่นให้ซื้อให้ลองเล่นอีกเยอะคร่าาาาา 

Image source : www.facebook.com/eveandboy

7. ดูปริมาณและแพ็คเกจ

นอกจากจะดูราคาแล้ว ก็ต้องดู:

- ปริมาณด้วยว่าได้มากน้อยแค่ไหน เหมาะสมกับราคาไหม เพราะบางแบรนด์ราคาขายอาจจะถูกกว่าอีกแบรนด์แต่ได้ปริมาณน้อยกว่าครึ่งต่อครึ่งทั้งๆที่ดูด้วยสายตาตลับ/กระปุกใหญ่เท่ากัน อย่างนี้ก็หมายความว่าแบรนด์ที่ราคาขายถูกกว่าจริงๆแล้วแพงกว่าแล้วล่ะค่ะ! (เพราะให้ปริมาณน้อยกว่า) 

- ความทนทานแน่นหนาของแพ็คเกจ ใช้งานสะดวกไหม แตกง่ายไหม ถ้าสาวๆเป็นคนที่เดินทางบ่อย ต้องพกเครื่องสำอางไว้ในกระเป๋าเดินทางบ่อยๆ ก็ควรที่จะเลือกแพ็คเกจที่แน่นหนา ไม่แตกหักง่ายค่ะ เพราะคุณภาพผลิตภัณฑ์จะดีแค่ไหนแต่ถ้าบรรจุในแพคเกจที่เปราะบาง ก็เสี่ยงที่จะเกิดความเสียหายก่อนเวลาอันสมควรเหมือนกัน เช่น แป้งแตก ลิปหัก เซรั่มเยิ้มทะลุหลอดออกมา

- ความสวยงามของแพคเกจ ขอให้ดูเป็นลำดับสุดท้าย หลังจากพิจารณาข้อด้านบนมาแล้วนะคะ (แต่ก็ไม่ค่อยจะทำกันได้หรอกนะ ฮ่าๆๆ)

Image source : instagram.com/dolcegabbana

7 ข้อนี้สาวต้องจำให้ขึ้นใจเลยค่ะ เพื่อที่เราจะได้ซื้ออย่างชาญฉลาด ไม่เสียตังค์ไปฟรีๆ ซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้ และบางครั้งการซื้อเครื่องสำอางมากเกินไป ก็ทำให้ใช้ไม่หมด พอของหมดอายุแล้วก็ต้องทิ้ง เสียดายเปล่าๆค่ะ เอาเป็นว่าจะซื้ออะไรก็คิดก่อนนิดนึง จะได้ไม่เสียดายและเสียใจ ขอให้สาวๆมีสติก่อนการซื้อเครื่องสำอางและสกินแคร์ทุกครั้งเลยนะคะ :)