Loro Piana แบรนด์สิ่งทออิตาลีที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 100 ปี คัดสรรวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูงจำพวกขนสัตว์ เช่น แคชเมียร์ (Cashmere) เบบี้แคชเมียร์ (Baby Cashmere) ผ้าวิคูญา (Vicuña) และเหล่าผ้าวูล (Wools) รวมทั้งใยพืชจากธรรมชาติ ปัจจุบัน Loro Piana อยู่ในเครือบริษัท LVMH ค่ะ ประวัติความเป็นมาของแบรนด์จะเป็นยังไงไปดูกันเลยค่าาา
LORO PIANA: ประเพณีแห่งความหรูหรา
Loro Piana คือเอกลักษณ์ของความเป็นเลิศแห่งอิตาลี ประสบการณ์กว่าหกชั่วอายุคนในอุตสาหกรรมสิ่งทอได้สร้างมาตรฐานที่มั่นคงในการสรรหาวัตถุดิบ เพื่อผลิตสิ่งทออันมีคุณภาพสูงสุด รวมถึงบริการขายที่ขับเคลื่อนด้วยแรงผลักดันจากความต้องการที่จะพัฒนาและความเคารพสิ่งแวดล้อมของโลก
ทางบริษัทเป็นที่ยอมรับอย่างหาที่เปรียบมิได้ในความชำนาญและการรังสรรค์วัตถุดิบชั้นเลิศและหายากให้กลายเป็นผ้าที่มีคุณภาพชั้นเยี่ยมอย่างแคชเมียร์ (Cashmere) เบบี้แคชเมียร์ (Baby Cashmere) ผ้าวิคูญา (Vicuña) และเหล่าผ้าวูล (Wools) อันมีคุณภาพสูงสุด โดยองค์ความรู้นี้ถูกนำมาใช้ในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า
ปัจจุบัน Loro Piana ยังเป็นที่รู้จักจากคอลเลคชั่นเสื้อผ้าโมเดิร์นคลาสสิกและเครื่องประดับอันเป็นเอกลักษณ์สำหรับทั้งคุณสุภาพบุรุษ สุภาพสตรี และเด็ก โดยผลิตภัณฑ์ของ Loro Piana ถือกำเนิดขึ้นในทศวรรษที่ 1980 จากความปรารถนาที่จะสร้างเสื้อผ้าที่เหมาะสมสำหรับลูกค้าผู้มีวิสัยทัศน์ในช่วงชีวิตยามว่างของพวกเขา ซึ่งเป็นความลงตัวระหว่างเสื้อผ้าอันสวยงามและการใช้งานที่สามารถสวมใส่ได้จริงอย่างลงตัว โดยสิ่งสำคัญในการบ่งชี้ให้เห็นถึงความเป็น Loro Piana นั้นสามารถรับรู้ได้อย่างถ่องแท้เพียงปลายนิ้วสัมผัสลงบนเนื้อผ้าก็จะรับรู้ได้ถึงความสบายและคุณภาพที่ไม่มีใครสามารถเทียบเทียม
Loro Piana มีความมุ่งมั่นในการปกป้องสัตว์ป่าและสิ่งแวดล้อมซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมวัตถุดิบอันล้ำค่า ตลอดจนการอนุรักษ์ และพัฒนาความรู้และความชำนาญในการนำวัสดุเหล่านี้มาผลิตเป็นสิ่งทอและเสื้อผ้าชั้นเลิศ
ปัจจุบันทางบ้านยังคงสนับสนุนสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์และเรียบง่าย หากแต่สามารถรับรู้ได้ในหมู่คนที่รู้จัก Loro Piana เสมือนสมาชิกใน 'คลับ' ลับของผู้ที่มีรสนิยมและความเชี่ยวชาญ ที่แสวงหาสินค้าคุณภาพชั้นยอดและมีความสง่างามเหนือกาลเวลา พร้อมมีฟังก์ชั่นที่ทันสมัยและความสบายอันสูงสุด ดั่งเสื้อผ้าในอุดมคติสำหรับการใช้ชีวิตในปัจจุบัน โดยสิ่งเหล่านี้มีค่าเกินกว่าแค่กระแสแฟชั่น โลโก้ หรือฤดูกาล ซึ่ง Loro Piana ขวนขวายที่จะย้อนกระแสวัฒนธรรมแบบใช้แล้วทิ้งในปัจจุบันด้วยแนวทางที่ยั่งยืนยิ่งขึ้น
ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ของครอบครัว LORO PIANA
แรกเริ่มจากเมืองทริเวโร (Trivero) ครอบครัวลอโร่ เปียน่า (Loro Piana) เริ่มต้นจากการค้าผ้าขนสัตว์ในช่วงต้นศตวรรษที่สิบเก้า ต่อมาได้ย้ายไปวาลซีเซีย ซึ่งเป็นที่ก่อตั้งของบริษัทในปัจจุบันที่ตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 2 เมษายน 1924 โดย ปิเอโตร ลอโร่ เปียน่า (Pietro Loro Piana) ด้วยความเชื่อมั่นในนวัตกรรมทางเทคนิคและกรรมวิธีการผลิต เขาได้สร้างบริษัทใหม่ที่สามารถก้าวไปพร้อมกับเวลาที่หมุนไปอย่างรวดเร็ว โดยเปลี่ยนจากการขายผ้าขนสัตว์เป็นการผลิตผ้าเหล่านั้นเอง และ ณ ตอนนั้นองค์กรนี้มีชื่อว่า “Ing. Loro Piana & C.” ซึ่งตั้งอยู่ที่คอร์โซ โรลันดี (Corso Rolandi) และปัจจุบันยังคงเป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัท
ในปี 1941 หลานชายของเขา ฟรันโก้ ลอโร่ เปียน่า (Franco Loro Piana) ได้เข้ามาบริหารบริษัท โดยหลังสงครามเขาเริ่มมีชื่อเสียงในด้านผ้าขนสัตว์สำหรับแฟชั่นที่คุณภาพชั้นเยี่ยมรวมไปถึงผ้าม่าน ซึ่งเป็นส่วนที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและน่าทึ่งในช่วงหลังสงคราม ซึ่งเมื่อตลาดกลับมาเปิดขึ้นอีกครั้ง ทางบริษัทได้นำผลิตภัณฑ์เส้นใยที่คัดสรรมา โดยเฉพาะผ้าแคชเมียร์ไปยังส่วนที่อื่นๆของยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น กลายเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายชั้นนำให้กับช่างตัดเสื้อที่ดีที่สุด และต่อมาให้กับนักออกแบบแฟชั่นชื่อดังมากมายทั่วโลก ทั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับคุณภาพที่ไม่สามารถต่อรองได้และการคิดค้นด้วยนวัตกรรมอันทันสมัย
ในรุ่นที่ 6 ของครอบครัวประกอบด้วยสองพี่น้องที่น่ายกย่องและยอดเยี่ยม - ปีแอร์ ลุยจี (Pier Luigi) และ เซร์คิโอ ลอโร่ เปียน่า (Sergio Loro Piana) ซึ่งเข้ามาบริหารบริษัทในช่วงทศวรรษที่ 70 โดยรับช่วงต่อจากบิดาของพวกเขาในฐานะซีอีโอ ผู้เป็นพี่เป็นผู้แสวงหาวัตถุดิบที่ดีที่สุดในโลกอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแคชเมียร์ วิคูญา และขนสัตว์เนื้อละเอียดพิเศษอีกหลากหลายชนิด พร้อมค้นคว้าวิธีการใหม่ๆ เพื่อพัฒนาและนำมาใช้งานอย่างต่อเนื่อง และอีกคนคือผู้มองขาดถึงความสง่างาม และผลักดันที่จะเปิดตัวสาขาใหม่ของบริษัทโดยเป็นครั้งแรกที่นำเสนอเสื้อผ้าพร้อมใส่ ดังนั้นแผนกสินค้าหรูหรา (Luxury Good) จึงถือกำเนิดขึ้นในทศวรรษที่ 80 พร้อมผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่มีวิสัยทัศน์ในการใช้ชีวิตยามว่าง โดยมีความสมดุลระหว่างความสง่างามและประโยชน์ใช้สอยอย่างลงตัว และ Loro Piana ได้เริ่มพัฒนาธุรกิจค้าปลีกในช่วงปลายทศวรรษ 1990 โดยเปิดร้านไปยังทั่วโลก
ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา เราได้เห็นถึงนวัตกรรมทั่วทุกด้าน รวมทั้งการพัฒนาเนื้อผ้าชั้นเลิศอันเป็นเอกลักษณ์ ได้แก่ ผ้าวิคูญา เบบี้แคชเมียร์ และ The Gift of Kings® รวมถึงความมหัศจรรย์ของ Lotus Flower® ทาง Loro Piana ยังคงสร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่องในการประดิษฐ์แคชเมียร์ที่ดีที่สุดในโลก ซึ่งคัดสรรมาด้วยความใส่ใจ พร้อมเคารพผู้เพาะพันธุ์และสัตว์ที่ได้รับวัดถุดิบมา นอกจากนี้ยังเป็นผู้สร้างกระบวนการทางเทคนิคอันล้ำสมัยเพื่อผลิตผ้าที่ทนทานต่อลม ฝน และความเย็นอีกด้วย
แม้เมื่อปี 2013 LVMH ได้ซื้อกิจการไป แต่บ้านหลังนี้ยังคงสนับสนุนความคลาสสิกในรูปแบบใหม่ซึ่งอยู่เหนือเทรนด์และโลโก้ โดยปัจุบันข้อบัญญัติยังคงเดิมเพื่อนำเสนอทางออกอันสมบูรณ์แบบสำหรับความต้องการของลูกค้าในชีวิตประจำวัน เป็นความธรรมดาที่ไม่ธรรมดา… โดยทำให้สะดวกขึ้น เพลิดเพลินขึ้น และสวยงามขึ้น
วัตถุดิบ
Loro Piana มีสถานที่ตั้งโดยตรงในตลาดสำคัญทุกแห่งที่เป็นแหล่งกำเนิดของวัตถุดิบ: วิคูญา จากเปรู (Peru) โบลิเวีย (Bolivia) และอาร์เจนตินา (Argentina) แคชเมียร์ (Cashmere) และเบบี้แคชเมียร์ (Baby Cashmere) จากประเทศจีนและมองโกเลีย (Mongolia) ขนแกะเมอริโน (Merino) ชั้นดีจาก ออสเตรเลีย (Australia) และนิวซีแลนด์ (New Zealand) และ Lotus Flower® บัวจากเมียนมาร์ (Myanmar)
วิคูญา (Vicuña)
เปรู (Peru) โบลิเวีย (Bolivia) และอาร์เจนตินา (Argentina) คือประเทศต้นกำเนิดของเส้นใยที่หายากและมีค่าที่สุดในโลก วิคูญา ต่อเนื่องมาจากการล่าขนอันมีค่าของวิคูญาอย่างไม่จบสิ้นเป็นเวลากว่าสี่ศตวรรษ ทำให้วิคูญาถึงขั้นเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ดังนั้นในปี 1994 Loro Piana ซึ่งเป็นหัวหน้ากลุ่มกิจการร่วมการค้าได้ลงนามในข้อตกลงกับรัฐบาลเปรูและชุมชนแอนดีส (Andean) ซึ่งให้สิทธิ์แก่บริษัทในการซื้อ แปรรูป และส่งออกเส้นใยขนวิคูญา ที่ได้รับจากการตัดขนสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น โดยพันธสัญญาของ Loro Piana ได้รับการต่ออายุอีกครั้งในปี 2008 ด้วยการสร้าง "Reserva Dr. Franco Loro Piana" ซึ่งเป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติเอกชนแห่งแรกของเปรู ในพื้นที่คุ้มครองขนาด 2,000 เฮกตาร์ เหล่าวิคูญามีอิสระที่จะใช้ชีวิตในป่าอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งนี้บริษัทยังคงปกป้องสายพันธุ์ในเปรูต่อไป โดยการสร้างแอ่งกักกันน้ำและแก้มลิงใต้ดิน เพื่อป้องกันวิคูญาจากสภาพพื้นที่ที่มีการแปรสภาพเป็นทะเลทรายซึ่งกำลังคุกคามที่อยู่อาศัยของสัตว์ นอกเหนือจากนี้ Loro Piana ยังสรรหา วิคูญาจากอาร์เจนตินาและโบลิเวียด้วยวิธีการที่ยั่งยืนและมาจากขนสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่โดยความร่วมมือกับประชากรในท้องถิ่นเพื่อจัดสรรขนเหล่านี้เฉกเช่นเดียวกัน
เส้นใยวิคูญานั้นได้มาจากสมาชิกขนาดเล็กของตระกูลอูฐ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับอูฐ อัลปากา และลามะ วิคูญาอาศัยอยู่ในป่าบนเทือกเขาแอนดีสที่ระดับความสูงกว่า 4,000 เมตร วิคูญาที่สง่างามนี้ไม่สามารถเลี้ยงในที่กักขังเนื่องจากวิคูญาแต่ละตัวต้องการพื้นที่ขนาด 1 เฮกตาร์เพื่อความอยู่รอด ขนเนื้อละเอียดเป็นพิเศษนี้จึงช่วยป้องกันฤดูหนาวอันโหดร้ายบนเทือกเขาแอนดีสได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขนของวิคูญาจะถูกตัดตั้งแต่ฤดูใบไม้ผลิเป็นต้นไปในช่วงที่อากาศนั้นอุ่นขึ้น เมื่อขนถูกตัดเหล่าวิคูญาจะถูกปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติในทันทีและการเก็บขนนี้จะเกิดขึ้นทุกๆ 2 ปีเพียงเท่านั้น
แคชเมียร์ (Cashmere)
แคชเมียร์คือขนแพะชั้นดีของแพะภูเขาที่โตเต็มวัย (Hircus) ซึ่งปลูกขึ้นเพื่อปกป้องสัตว์เหล่านี้จากสภาพอากาศที่รุนแรงของภูมิประเทศทะเลทรายที่เหล่าแพะอาศัยอยู่ แพะทุกตัวจะผลิตขนได้ประมาณ 200-250 กรัมต่อปีเท่านั้น และในฤดูใบไม้ผลิ เมื่อสภาพอากาศอบอุ่นขึ้น แพะจะผลัดขนตามธรรมชาติ และผู้เลี้ยงแพะจะเก็บเกี่ยวแคชเมียร์โดยการสางขนของสัตว์อย่างเบามือ Loro Piana ได้คัดสรรแคชเมียร์มาจากประเทศจีนและมองโกเลีย ซึ่งทางบริษัทได้สร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับชุมชนท้องถิ่นอีกด้วย
เบบี้แคชเมียร์ (Baby Cashmere)
เบบี้แคชเมียร์เป็นเส้นใยที่ได้จากขนลูกแพะ Hircus ที่ได้ผ่านกระบวนการหวีอันละเอียดอ่อนนี้เป็นการเก็บขนที่เกิดขึ้นภายใน 12 เดือนแรกของชีวิตสัตว์และเพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น โดยแพะแต่ละตัวสามารถผลิตเส้นใยได้ไม่เกิน 30 กรัม ทำให้ได้เส้นใยมีความนุ่มและเบาอย่างหาที่เปรียบมิได้ Loro Piana ต้องใช้เวลาถึง 10 ปีในการโน้มน้าวผู้เพาะพันธุ์แพะให้เก็บขนแพะส่วนเกินของลูกแพะ เนื่องจากการเก็บขนนี้ Loro Piana ให้ความเคารพต่อวัฏจักรของธรรมชาติ ผู้เลี้ยงแพะจึงมีความเชี่ยวชานและรู้ถึงเวลาที่เหมาะสมในการเก็บขนจากการสังเกตสัตว์และการผันเปลี่ยนของฤดูกาล ซึ่งวิธีการนี้ได้นำมาจากภูมิปัญญาของเหล่าบรรพบุรุษที่ทำกันมาแต่เนิ่นนาน ซึ่งทำให้เบบี้แคชเมียร์เป็นหนึ่งในเส้นใยที่พิเศษที่สุดในโลก
The Gift of Kings®
ขนแกะเมอริโนใน The Gift of Kings® คือขนแกะที่มีคุณภาพสูงสุดและดีที่สุดในโลกซี่งได้มาจากฝูงแกะเมอริโนที่คัดสรรอย่างเป็นพิเศษจากทุ่งหญ้าในออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ โดยทางบริษัทได้จัดทำข้อตกลงพิเศษระยะยาวกับกลุ่มเกษตรกรชาวออสเตรเลียและนิวซีแลนด์เพื่อจัดซื้อขนแกะที่ดีที่สุด เส้นใยในจำนวน 13 ไมครอน นี้มีคุณภาพสูงสุดและเป็นเส้นใยอันมีความยืดหยุ่นได้ดีที่สุด ได้ถูกนำมาสร้างสรรค์ขึ้นเป็นเสื้อชั้นนอก เสื้อสเวตเตอร์ และเครื่องประดับในจำนวนจำกัดสำหรับผู้ที่ชื่นชอบอย่างแท้จริง การเพาะพันธุ์แกะเมอริโน (Merino) นั้นจำเป็นจะต้องดูแลอย่างเป็นพิเศษ โดยใช้ทักษะและความทุ่มเทเป็นอย่างมาก ทาง Loro Piana จึงมีการยกย่องผู้ผลิตด้วยการมอบรางวัล Loro Piana Record Bale ให้กับเส้นใยที่ดีที่สุดที่ผลิตในแต่ละปี โดยมอบขนแกะที่ดีที่สุดในโลกน้ำหนัก 100 กิโลกรัมที่ Loro Piana เก็บรักษามากว่า 25 ปีเป็นรางวัล
ชื่อ The Gift of Kings® ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมเนียมปฏิบัติของราชวงศ์สเปนในการมอบแกะเมอริโนคู่หนึ่งเป็นของขวัญแก่กษัตริย์องค์อื่น เพื่อเป็นเกียรติแก่ความสัมพันธ์และผนึกพันธมิตร นอกจากนี้แกะเมอริโนถือว่ามีค่ามากเสียจนชาวสเปนซึ่งเป็นกลุ่มแรกที่เลี้ยงแกะเมอริโนเพื่อสร่างกำไร รองจากชาวโรมันและชาวฟินีเซียนที่เฝ้าดูแลพวกมันอย่างใกล้ชิดและห้ามไม่ให้ขายพวกมันออกนอกประเทศ หากในช่วงครึ่งหลังของทศวรรษที่ 1700 แกะเมอริโนได้ถูกนำไปยังนิวซีแลนด์และออสเตรเลียซึ่งแหล่งอาศัยเหล่านี้มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างสูง ดังนั้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฝูงแกะเมอริโนจึงได้รับการดูแลอย่างดีที่สุดโดยผู้เพาะพันธุ์ท้องถิ่นมาหลายชั่วอายุคน ทำให้ขนแกะเมอรอโนนั้นมีคุณภาพและความประณีตในระดับอันน่าอัศจรรย์ เป็นคุณภาพและความประณีตที่ Loro Piana นั้นหลงใหล
The Lotus Flower®
สมบัติสิ่งทออันล้ำค่าเฉพาะจาก Loro Piana คือเส้นใยที่ได้มาจากดอกบัวที่เติบโตในน้ำของทะเลสาบอินเลในภาคตะวันออกของเมียนมาร์ ลำต้นของพืชน้ำชนิดนี้อันเป็นที่เคารพสักการะต่อพระพุทธเจ้า ได้ถูกนำมาใช้เพื่อผลิตเส้นใยที่ละเอียดและพิเศษที่สุด ซึ่งกระบวนการทุกขั้นตอนใน 24 ชั่วโมงแรกหลังเก็บเกี่ยวนั้นทำด้วยมือเท่านั้น โดยก้านดอกบัวจำนวน 6500 ก้านนั้นสามารถนำมาทอเป็นเส้นด้ายความยาวตัดเดียวสำหรับเสื้อเบลเซอร์เท่านั้น
โดยตุลาคมนี้ Loro Piana จะมีการเปิดบูติกแห่งแรกในประเทศไทย ณ สยาม พารากอน