สวัสดีค่ะสาวๆ วันนี้เฟียร์ซจะพาไปเที่ยวที่เมืองๆหนึ่งที่ไม่ธรรมดา เป็นเมืองมรดกโลก ซึ่งมีประวัติเก่าแก่ยาวนานกว่า 800 ปี! ขึ้นชื่อมากเรื่องความสวย ความบริสุทธิ์ ความเลอค่า เหมาะสำหรับสาวเฟียร์ซเป็นอย่างยิ่ง 555 ซึ่งก็คือ "ลี่เจียง" ตั้งอยู่ท่ามกลางขุนเขาทางตอนเหนือของเมืองต้าลี่ ประเทศจีนค่ะ
ทำไมต้องลี่เจียง?
โดยส่วนตัวเคยเดินทางไปประเทศจีนมาแล้วและไม่ได้มีความประทับใจหวือหวาอะไรมากมาย แต่ด้วยเรื่องราววัฒนธรรมของชาว Naxi (หน่าซี) ที่เป็นชนท้องถิ่นของลี่เจียงทำให้รู้สึกว่า ที่นี่น่าสนใจ ยังไงคงต้องไปสักครั้ง เพราะ ”ผู้หญิง” ที่นี่เป็นหัวหน้าครอบครัว มีสิทธิ์ในการรับมรดกและเลี้ยงดูบุตรโดยผู้เดียว! ในสมัยก่อนผู้หญิงชาว Naxi จะเลือกที่นอนกับใครก็ได้ และมีประเพณีการแต่งงานที่แปลกสุดๆของชาว Naxi ซึ่งรัฐบาลจีนห้าม ก็คือ "การกระโดดหน้าผา!!" คุณพระ! ดีกรีความแซ่บเต็มสิบขนาดนี้ ไม่ไปไม่ได้แล้ว!!
และนอกจากเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่แตกต่างจากวัฒนธรรมจีนทั่วไปแล้ว ลี่เจียงยังเป็นหนึ่งในเมืองโบราณ หรือเมืองมรดกโลกของ UNESCO ที่มีธรรมชาติที่สวยมาก อากาศดีตลอดปี ตั๋วเครื่องบินไม่แพง นั่งก็ไม่นาน โอเค เฟียร์ซขนาดนี้ตัดสินใจไม่ยาก 3 2 1 ไปค่ะ!!
Naxi (หน่าซี)
ไปลี่เจียงเดินทางอย่างไร?
ลี่เจียง ไม่มี direct flight จากกรุงเทพ สายการบินเดียวที่ถึงเลย คือ China Eastern และเป็นสายการบินเดียวที่ไปลี่เจียงจากกรุงเทพ เปลี่ยนเครื่องที่ คุนหมิง และจากคุนหมิงก็ต่อเครื่องไปลี่เจี่ยง ถ้าอากาศดีฟ้าเปิดก็ใช้เวลาประมาณ 45 นาทีเท่านั้น แต่หากสาวๆเป็นคนขี้หงุดหงิด รักสบาย ชอบอาหารดีๆ แอร์ยิ้มแย้มอารมณ์ดี ลืม China Eastern ไปเลยค่ะ เพราะรายนั้นค่อนข้างเหมาะกับขาลุย! อาจจะต้องนั่งไปสิงค์โปร์แล้วต่อ Tiger หรือ Lion Air แทน หรือหากมีงบมาก ลี่เจี่ยง Jet Airport ใกล้จะเสร็จแล้ว เลือกการเดินทางของท่านตามสถานะภาพทางการเงินได้เลยสวยๆค่ะ!
พักที่ไหนดี?
ผู้เขียนมีโอกาสเข้าพักที่โรงแรม Banyantree Lijiang รวมทั้งหมด 5 วัน โรงแรมใหญ่มาก และสามารถมองเห็น Jade Dragon Snow Mountain จากทุกส่วนของโรงแรม วิลล่าใหญ่ มีสวน มี Outdoor Jacuzzi ให้นั่งแช่ภายใต้ อากาศ 6 องศา! ความจริงลี่เจี่ยงมีโรงแรมให้เลือกมาก ตั้งแต่ไม่มีดาวไปจนถึงถึงห้าดาว แต่ผู้เขียนชอบทำเลของ Banyantree ที่สุด เพราะไม่ได้อยู่ในเมืองทีเดียว ถ้าอยากจะเข้าเมืองไปกิน McDonald’s, Starbucks ต้องนั่งรถไปประมาณ 20-25 นาที แต่แหม ไปถึงขนาดนั้นก็คงไม่ได้อยากลอง McDonald’s ใช่มั้ยคะ ถึงจะแอบหวังว่าอาจมีเมนู Exotic อย่างเบอร์เกอร์เนื้อจามรี หรือ เนื้อลามะก็เหอะ!
Guesthouse
Outdoor Jacuzzi
และถ้าอยากเดินเล่นสำรวจชุมชนท้องถิ่น ดูร้านกาแฟ ร้านอาหารสวยๆ เดินไป Shu He (อ่านว่า ชู-เฮอ) แค่ 5 นาที จากโรงแรม ที่ Shu He (โปรดอ่านอีกครั้ง ชู-เฮอ) มีร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า อารมณ์เดียวกับปาย แต่ไม่เป็นแนว backpacker ไม่มี bucket bars 555
บรรยากาศบ้านเรือนใน Shu He
บรรยากาศใน Shu He
มีอะไรให้เที่ยวบ้าง?
ขึ้นมา 3000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล บวกกับอากาศหนาวประมาณ 0-6 องศา อาจทำให้ไม่อยากไปไหนแล้ว ขอเตือนว่าร่างกายอาจจะต้องใช้เวลาปรับตัวกับความกดอากาศนะคะ เพราะพูดได้คำเดียวว่า "หนาวมากกกก" แต่ว่าไหนๆมาแล้ว ก็ขึ้นไปอีกสัก 2000เมตร ให้ถึง Jade Dragon Snow Mountain (ยอดเขาหิมะมังกรหยก) กันเถอะ นั่งรถจากโรงแรมไปถึงจุดจอดรถประมาณ 1 ชม. จากนั้นต้องใช้รถบัสเพื่อจะไปขึ้นกระเช้า ระหว่างอยู่บนกระเช้ารู้สึก ว่าคุ้มกับความหนาวมากๆ ทุกอย่างเป็นสีขาวไปหมด มีต้นไม้ใหญ่ประปราย สวยมากๆค่ะ แอบคิดในใจว่าทำไมไม่เอาชุดคอสตูมราชินี Elsa จากเรื่อง Frozen มาด้วย คงดูสมจริงได้ Best Dress Award กันเลยทีเดียว (ว่าไปนั่น! 555)
วิวจาก Jade Dragon Snow Mountain (ยอดเขาหิมะมังกรหยก)
Jade Dragon Snow Mountain (ยอดเขาหิมะมังกรหยก)
วิวจาก Jade Dragon Snow Mountain (ยอดเขาหิมะมังกรหยก)
เมื่อขึ้นไปถึงแล้ว ขอให้เช็คให้มั่นใจว่า มีกระป๋องออกซิเจนเพียงพอใช้ ทางขึ้นไปสุดยอดเขาไม่ไกลมาก แต่ว่าถ้าไม่เคยชินเป็นสภาพอากาศแบบนี้ อาจจะไปไม่ถึงจุดสูงสุด เหมือนดิชั้น….. หลังจากยืนหวานถ่ายรูปกับหิมะได้ซักพักก็เริ่มจะอยากนั่ง ตัดสินใจนั่งดื่มกาแฟ แล้วเติมออกซิเจนเป็นกระป๋องที่สาม คิดว่าตัวเองไหว เดินไปเข้าห้องน้ำ ไม่พกออกซิเจนไป ขากลับต้องค่อยๆกระดึบ เกาะกำแพงกลับมา ไม่แน่ใจว่าออกซิเจนไม่พอ หรือส้วมเหม็นมาก กันแน่ ออกอาการหายใจแผ่วเบาๆ เลยตัดสินใจ ลงดีกว่า แต่ความสวยคุ้มค่านะคะ ถ้ามาแล้วยังไงก็ควรขึ้นมาดู!!
กระป๋องออกซิเจนสำคัญสุดๆ
ขากลับคนขับรถแวะพาชมหมู่บ้านชาว Naxi บรรยากาศเดียวกับเมือง ไคเฟิง (ไคฟง) ในเปาบุ้นจิ้น แต่ไม่วุ่นวาย ดูเป็นหมู่บ้านน่ารัก ยังคงเห็นภาพผู้คนใช้ลา ใช้ม้าขนของบ้าง รู้สึกเหมือนอยู่ในฉากหนังจีนที่มีจอมยุทธมาฝึกฝนในหมู่บ้าน
พอเหมาะ พอดี และพอแล้วสำหรับท่องเที่ยวธรรมชาติ วันต่อมาก็เข้าไปชมเมืองในลี่เจี่ยง กลับเข้าสู่โหมดศิวิไลซ์แบบชาวเมืองนิดนึง Bai Sha (ไป่-ชา) เป็นเมืองเก่า ที่ตอนนี้กำลังจะกลายเป็นเมืองใหม่ ห้างกำลังสร้าง มีการเจาะอุโมงค์ มีร้านอาหาร แฟรนไชส์ มี KFC / Starbucks / McDonalds ที่ทำให้รู้สึกว่ารอดตายและอุ่นใจทั้งๆที่ไม่ได้เข้าไปกิน 555 มีคนพยายามขายของ มีนก มีจามรีให้ถ่ายรูปด้วย รู้สึกเหมือนอยู่ สวนลุมไนท์บาซาร์ สมัยก่อน Bai Sha เป็น tourist trap และจะกลายเป็น commercial มากๆ ถึงอย่างนั้นความสวยงามของลี่เจียงยังมีให้เห็นใน Bai Sha อยู่บ้าง มีน้ำไหลผ่านเมือง ซึ่งครั้งนึงคนที่นี้ใช้ดื่มได้ ตอนนี้ถึงจะใสมากจนเห็นปลา แต่ก็ดื่มไม่ได้แล้วค่ะ
McDonalds แบบฉบับของ Bai Sha
มีนกให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูปตัวใหญ่ม๊าก
สถานที่โปรดของเราตลอดทริป คือ Shu He ตกเย็น Shu He จะมีชีวิตชีวาม๊ากกก มีร้านอาหาร Naxi อร่อยๆ เยอะ อาหาร Naxi ไม่เหมือนอาหารจีนทั่วไป อาหาร Naxi มีรสชาติ บางอย่างก็เผ็ด และไม่ค่อยต่างจากอาหารไทยมากนัก ที่ Shu He มีร้านอาหาร Tibetian คล้ายๆจิ้มจุ่มบ้านเรา แต่มีแต่เนื้อจามรีค่ะ! ซึ่งจริงๆแล้วอร่อยมากๆ มีน้ำจิ้มเผ็ด ผักกินคู่กับขนมปังคล้ายๆโรตี แล้วก็เนยที่ทำจากไขมันจามรี ถ้ามาถึงที่นี่แล้วยังไงก็ต้องลอง!
ร้านอาหาร Naxi คล้ายๆจิ้มจุ่มบ้านเราค่ะ
ร้านกาแฟ ร้านขนม มีให้เลือกตลอดทาง ทุกร้านมี wifi ฟรี (มองดูบ้านเราแล้วมันเศร้าตรงนี้!) สังเกตว่าคนที่นี่ชอบเลี้ยงน้องหมามาก แทบทุกร้านจะมีหมา โดยเฉพาะพันธุ์หายาก ตั้งแต่ Samoyed, Tibetian Mastiff ไปจนถึง Original Poodle ที่แต่ละตัวมากับแบบไซส์จัมโบ้ เห็นทีถึงกับต้องเรียกว่าลูกพี่! 555 โดยส่วนตัวชอบหมามาก เลยรู้สึกว่าการเดินเล่นที่ Shu He เป็นสิ่งที่สนุก เลยใช้เวลาเกือบทุกเย็นเดินจากโรงแรมมาหาหมาเล่น เดินเล่นชิลๆ ท่ามกลางธรรมชาติ และแสงสีที่กำลังพอดี ได้เล่นคลุกคลีกับน้องหมา โอยยย ฟินจริงๆค่ะ
ร้านกาแฟบรรยากาศอย่างกับในหนังจีน
น้องหมาพันธ์ Samoyed
ความประทับใจอีกอย่างของ ลี่เจี่ยง คือน้ำที่ใช้ยังเป็นน้ำจากธารน้ำแข็ง (Glacier) ที่นี้จะขุดคูน้ำเล็กๆให้น้ำไหลผ่าน มีปลาตัวเล็กๆอยู่ คนก็จะใช้น้ำล้างมือ ล้างหน้า ล้างจาน แต่ดื่มไม่ได้แล้ว ซึ่งน่าเสียดายมากที่เมื่อไม่กี่ปียังสะอาดจนดื่มได้ ต่อไปคงใช้ไม่ได้แล้วด้วย และ ลี่เจี่ยงเป็นเมืองที่สะอาดถ้าเทียบกับเมืองท่องเที่ยวอื่นๆ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นชาวเอเชีย ยังไม่ค่อยมีชาวตะวันตกมากนัก
น้ำจากธารน้ำแข็ง (Glacier)
อากาศที่นี้ดีตลอดปี ช่วงหน้าหนาวอาจมีหิมะบ้าง หากชอบอากาศหนาว พฤศจิกา-ธันวา เป็นเดือนที่น่าไป โรงแรมมีเตาผิงไว้สำหรับแขก หากอยากจะโรแมนติก ช่วงนี้เหมาะที่สุดแล้วค่ะ อีกอย่างในช่วงที่ไปเริ่มมีการก่อสร้างห้าง คอนโด และโรงแรมมากขึ้นแล้ว ถ้ายังต้องการความเป็นลี่เจียงแบบดั้งเดิมจริงๆ ควรรีบไปนะคะ :)
สำหรับสาวๆที่อยากมาลี่เจียงคนเดียว การสื่อสารไม่ใช่ปัญหามากนัก คนที่นี่หากไม่ใช่พนักงานในโรงแรม ก็ยังใช้ภาษาอังกฤษได้น้อย แต่พอสื่อสารได้บ้าง ป้ายร้านค้า ทัวร์ต่างๆยังเป็นภาษาจีนอยู่ และเนื่องจากเครื่องบินต้องไปลงที่คุนหมิง ซึ่งเป็นสนามบินที่เจอปัญหาหมอกลงหนา บ่อยมาก และต้องปิดบ่อยมากโดยเฉพาะหน้าหนาว ฉะนั้นควรเช็คกับสายการบินให้ดีว่าจะมีการดีเลย์มั้ย ไม่งั้นอาจต้องติดอยู่ที่สนามบินเป็นคืนๆ
หากมีปัญหากับเจ้าหน้าที่สายการบิน ถึงแม้ว่าคุณจะพูดภาษาจีนได้ อย่าพูด ให้พูดภาษาอังกฤษใส่นาง เสียงดังๆ พูดเยอะๆ นางจะงง แล้วยอมคุณเอง (เรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวเอง 555) และสุดท้ายหากจะพักที่ Banyantree บอก GM ว่าดิชั้นส่งคุณมา ;)
ขอให้สนุกกับการท่องเที่ยวเปิดประสบการณ์ใหม่นะคะ ครั้งหน้าเราจะพาคุณไปไหน โปรดติดตามค่า :)
ขอบคุณภาพจาก : Fiercebook.com/Wimintra