Chloé (โคลเอ้) ได้สร้างสรรค์น้ำหอมขึ้นมา 15 กลิ่น ในคอลเลคชั่น Chloé Atelier des Fleurs นำพืชพันธุ์ของดอกไม้ที่ได้รับความนิยมนานาชนิดมาใช้เป็นส่วนผสมหลัก ปรุงกลิ่นโดยนักออกแบบน้ำหอมชื่อดังมากมาย แต่ละกลิ่นจึงมีความพิเศษแตกต่างกัน สามารถฉีดผสมกันได้ ไม่ว่าจะเบลนด์ 2 กลิ่น หรือ 3 กลิ่น ก็ไม่ตีกันค่ะ คอนเซ็ปต์เดียวกับช่อดอกไม้ที่ผสมผสานดอกไม้หลายชนิดเข้าด้วยกัน ทำให้ได้กลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ละกลิ่นจะเป็นยังไงบ้างไปดูกันเลยค่าาา
ในบ้านของโคลเอ้หลังนี้ เต็มเปี่ยมไปด้วยความลับแห่งความหอม สร้างสรรค์อยู่ภายในห้องปฎิบัติการแห่งความฝัน ก่อเกิดเป็นน้ำหอมทั้งหมด 15 กลิ่น ประกอบไปด้วยน้ำหอมที่มีชื่อมาจากดอกไม้ต่างๆ ความพิเศษของน้ำหอมทั้ง 15 กลิ่นนี้ สามารถทวีความหอมด้วยการฉีดผสมคู่กัน หรืออาจจะเพิ่มดีกรีด้วยการผสานความหอมถึง 3 กลิ่น เกิดเป็นกลิ่นหอมที่เข้ากันอย่างลงตัว ด้วยการหลอมรวมส่วนผสมจากธรรมชาติ
น้ำหอมแต่ละกลิ่นมีเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัว ถูกรวบรวมไว้เป็นคอลเลคชั่นสุดพิเศษที่แท้จริง เหตุนี้ Chloé (โคลเอ้) จึงนำเอาพืชพันธุ์ของดอกไม้ที่ได้รับความนิยมนานาชนิดมาใช้เป็นส่วนผสมหลัก อันเป็นหัวใจสำคัญของน้ำหอมสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่สามารถแบ่งปันเรื่องราวแบบไม่ซ้ำใครได้อย่างเหนือระดับ
จากความทรงจำในวัยเด็ก ประสบการณ์ของการเดินทาง การรำลึกถึงสถานที่ต่างๆ หรือช่วงเวลาที่ผ่านมาในชีวิต…สู่น้ำหอมที่สามารถทำให้หวนความทรงจำในอดีตเกี่ยวกับการได้กลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับของโคลเอ้ให้ย้อนคืนมาอีกครั้ง ผ่านการปรุงกลิ่นโดยนักออกแบบน้ำหอมชื่อดังมากมาย
ศิลปะแห่งการผสมผสานมวลหมู่ดอกไม้
บางคนชื่นชอบดอกไม้ชนิดเดียวกันทั้งช่อ ขณะที่บางคนอาจหลงใหลดอกไม้หลากหลายสีสันในช่อเดียว คุณอาจเลือกดอกไม้ที่ชื่นชอบในร้านแล้วนำมารวมเป็นช่อดอกไม้ เสมือนกับ “Chloé Atelier des Fleurs” (โคลเอ้ อาเตอลิเย่ เดส์ เฟลอร์ส) คอลเลคชั่นน้ำหอมได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถัน เพื่อกลิ่นหอมที่ได้รับการผสมผสานให้เข้ากันอย่างลงตัวแบบไม่มีที่สิ้นสุด
ความงดงามของส่วนประกอบอันเลอค่า
น้ำหอมที่มีส่วนผสมเข้มข้นผ่านกระบวนการผลิตที่กลั่นกรองอย่างปราณีต สู่ขวดน้ำหอมที่หรูหราแบบเหนือกาลเวลา ดีไซน์ขวดได้นำแรงบันดาลใจการจับจีบผ้ามาใช้ ฝาปิดเป็นหินอ่อนสีงาช้างสวยงามสะดุดตา ประดับประดาด้วยคอขวดสีเบจผสมสีทองดูดีมีระดับ นำเอาสีสันที่มีอยู่รอบตัวตามธรรมชาติมาใช้อย่างเรียบง่ายแบบไม่ซ้ำใคร มีให้เลือกด้วยกัน 2 ขนาด คือ ขนาด 50 ml และ 150 ml เหมาะแก่การนำมาฉีดผสมกันจนเกิดเป็นน้ำหอมที่มอบประสบการณ์แปลกใหม่ที่เป็นคุณ
คอลเลคชั่นน้ำหอม L’ATELIER DES FLEURS ประกอบด้วย
ROSA DAMASCENA ออกแบบโดย Amandine Clerc-Marie
“กุหลาบ” เป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมสดชื่นและโดดเด่นอย่างเป็นธรรมชาติ โดย Amandine Clerc-Marie ได้นำแรงบันดาลใจจากกลีบดอกที่ซ้อนและเรียงตัวกันอย่างงดงามของดอกกุหลาบที่อยู่ในสวนดอกไม้ในวัยเด็กของเธอ โดยกุหลาบนั้นเป็นดอกไม้ที่มอบกลิ่นหอมสดชื่น เบาบางอย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมกับเอกลักษณ์แห่งความสนุกสนานร่าเริงที่น่าประทับใจ แบบไม่มีที่สิ้นสุด
LAVANDA ออกแบบโดย Quentin Bisch
น้ำหอมที่เกิดขึ้นจากเสน่ห์ของแสงและเงา โดย Quentin Bisch ได้เก็บภาพจำในวัยเด็ก ขณะช่วงเวลาที่แม่ของเขาเดินออกมาจากสวนดอกไม้ที่มีสีสันสุดร้อนแรง กลับเข้าสู่ภายในบ้านที่เต็มไปด้วยแสงอันอบอุ่น และได้ฉีดพ่นสเปรย์กลิ่น ”ดอกลาเวนเดอร์” ลงบนแขนของเธอ เหตุนี้เขาจึงได้เก็บภาพความทรงจำของกลิ่นหอมนั้นไว้ แล้วนำมายกระดับความหอมให้เด่นชัดมากขึ้น
MAGNOLIA ALBA ออกแบบโดย Louise Turner
น้ำหอมที่เปี่ยมเสน่ห์ส่งกลิ่นหอมสดชื่น ด้วยคุณค่าจากกลีบ “ดอกแมกโนเลีย” ที่มีกลิ่นหอมอวบอวลแสนรัญจวนใจ ทำให้ Louise Turner ชาวพื้นเมืองอังกฤษ นึกถึงวันที่แสงแดดส่องแสงจ้า เกิดเป็นไอเดียนำมาออกแบบน้ำหอมที่เต็มไปด้วยกลิ่นไอของความเรียบง่าย นำคุณค่าของกลิ่นหอมอ่อนๆ ของมะนาวผสานกับความหอมละมุนของดอกแมกโนเลียในช่วงฤดูใบไม้ผลิมารวมไว้ด้วยกันอย่างลงตัว
CEDRUS ออกแบบโดย Quentin Bisch
เบื้องหลังความหอมของกลิ่น “เปลือกไม้” นี้ เกิดจากกลิ่นของยางไม้หอม (Balsam) ผสมกับกลิ่นควันที่ชวนให้คิดถึงของขวัญจากคนรักที่เปี่ยมไปด้วยความขี้เล่นแสนซน จากดอกไม้ช่อหนึ่งที่ทำให้ Quentin Bisch รำลึกเมื่อครั้งที่พ่อของเขาเคยมอบให้แก่แม่เขาในวัยเด็ก ซึ่งเป็นช่อดอกไม้ที่มีความงดงามและอ่อนโยนยิ่งนัก ให้ความรู้สึกถึงความละเอียดอ่อน พร้อมด้วยกลิ่นหอมจากมัสก์ก็ทำให้รู้สึกถึงอบอุ่นและความเป็นผู้นำ
HIBISCUS ABELMOSCHUS ออกแบบโดย Domitille Michalon Bertier
ในวันที่แสงแดดสาดส่อง เปิดรับความหอมของกลิ่นผลไม้หอมอ่อนๆและกลิ่นกลีบดอกไม้หอมละมุน ด้วยคุณค่าของ “ดอกชบา” ราชินีแห่งดอกไม้จากสวนโพลิเนีเชียน ที่ Domitille Michalon Bertier เคยจดจำได้ในวัยเยาว์ ซึ่งดอกชบาได้มอบความอบอุ่นให้แก่ช่อดอกไม้ พร้อมกลิ่นมัสก์ที่ทรงพลัง และกลิ่นหอมแป้งอ่อน ๆ
HERBA MIMOSA ออกแบบโดย Amandine Clerc-Marie
น้ำหอมกลิ่นแป้งอ่อน ๆ ที่ให้ความรู้สึกอ่อนโยน ชวนให้นึกถึงความจำในวัยหนุ่มสาว กระตุ้นสัมผัสและปลุกเร้าอารมณ์ด้วยกลิ่นของ “ดอกมิโมซ่า” หรือไมยราบที่เบ่งบานอยู่บนเนินเขากราสเซ่ เมื่อ Amandine Clerc-Marie เธออายุช่วง 20 ปี ซึ่งกลิ่นหอมของดอกมิโมซ่านี้จะมอบความหอมอ่อนๆ ผสมผสานกับกลิ่นจากไม้ และพืชผัก เกิดเป็นกลิ่นที่เข้ากันอย่างพอเหมาะ สุดแสนล้ำค่า
NEROLI ออกแบบโดย Sidonie Lancesseur
จากการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านกลิ่นหอมของ “ดอกส้มเนโรลิ” ทำให้ Sidonie Lancesseur ย้อนกลับไปคิดถึงการเดินทางท่องเที่ยวในเมืองเซวิลล์ ประเทศสเปน เมื่อเขาได้กลิ่นหอมของดอกส้มจึงเกิดความรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวาและนึกถึงความอบอุ่นของแสงแดง และนึกถึงการเดินทางอันแสนหวาน เต็มไปด้วยความสะดวกสบายอย่างน่าโหยหา ชวนให้หวนกลับมาอีกครั้ง
VERBENA ออกแบบโดย Mylène Alran
กลิ่นหอมแนวอโรม่าของ “ดอกเวอร์บีน่า” ดอกไม้นำโชคจากสวนดอกไม้ ที่ Mylène Alran เคยเก็บมาถือไว้ในมือของเธอทุก ๆ วัน โดยกลิ่นหอมนี้ที่เกิดจากการนำกลิ่นดอกเวอร์บีน่าที่อยู่ในช่อดอกไม้ ผสมผสานเข้ากันอย่างลงตัวกับกลิ่นหอมสดชื่นของมะนาวที่โดดเด่น เปล่งประกายอย่างเป็นธรรมชาติ
JASMINUM SAMBAC ออกแบบโดย Louise Turner
เมื่อ Louise Turner ได้หยิบยกกลิ่นหอมอันมีเอกลักษณ์ของ “ดอกมะลิลา” ที่งดงาม มาใช้เป็นส่วนประกอบสำคัญในการออกแบบน้ำหอมซึ่งมะลิลาเป็นดอกไม้ที่แสดงออกถึงความรักสำหรับมอบให้แก่แม่ในวันแม่แห่งชาติของคนไทย และเธอได้เคยดมกลิ่นหอมครั้งนั้นที่ กรุงเทพมหานคร ด้วยกลีบดอกมะลินั้นมอบความรู้สึกอ่อนโยนราวกับหยดน้ำค้างที่กลิ้งอย่างนุ่มนวลอยู่ในช่อดอกไม้ที่เจิดจรัสงดงาม
VANILLA PLANIFOLIA ออกแบบโดย เควนติน บิช
เมื่อยังเป็นนักปรุงน้ำหอมฝึกหัด เควนติน บิช ค้นพบว่ากลิ่นวานิลลานั้นถูกสกัดมาจากกล้วยไม้ ดอกไม้ที่แทบไม่โชยกลิ่นหอมชัดเจนในธรรมชาติ เขามีความฝันที่จะตีความกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์นี้ขึ้นมาใหม่ ด้วยการสร้างสรรค์กลิ่นหอมหลากบุคลิกในแบบของตัวเอง จากการเติมกลิ่นใบไม้ที่มีกลิ่นเครื่องเทศจางๆ ลงไป ให้ขับเน้นกลิ่นดอกไม้สดให้ชัดเจนขึ้น นี่คือกลิ่นที่ชวนให้นึกถึงดอกไม้อันเย้ายวนขณะแย้มบานเต็มที่
PAPYRUS ออกแบบโดย อเล็กซี ดาดิเย่
ครั้งยังเป็นเด็ก อเล็กซิส ดาดิเย่ ได้รับกระดาษปาปิรุส (papyrus) ที่มีตัวอักษรโบราณเฮียโรกลิฟิก (hieroglyphs) บันทึกอยู่ เป็นของฝากจากอียิปต์ที่คุณตาคุณยายซื้อให้ และนั่นเป็นจุดเริ่มของหลงใหลของเขาต่อดินแดนอันลึกลับแห่งนี้ หลายปีให้หลังขณะที่กำลังล่องเรืออยู่ในแม่น้ำไนล์ เขาได้รับแรงบันดาลใจจากกลิ่นที่แตกต่างกันสุดขั้วของต้นปาปิรุสหอมสดชื่นที่หยั่งรากในแม่น้ำ ตัดกับกลิ่นหอมแนวควันไม้ เกิดเป็นกลิ่นหอมนี้ที่นำเสนอความแตกต่างอย่างน่าประหลาดใจของสองกลิ่นดังกล่าว
TUBEROSA 1974
นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1952 Chloé มุ่งเฉลิมฉลองมุมมองความงดงาม อิสระ และความเป็นธรรมชาติของผู้หญิง Chloé สร้างสรรค์กลิ่นหอมขึ้นมาครั้งแรกในปี ค.ศ.1974 ภายใต้การดูแลของ คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์ ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายศิลปะ (artistic director) ของเราในขณะนั้น วิญญาณความเป็น Chloé ถูกบรรจุไว้อย่างเต็มที่ในกลิ่นหอมชื่อเดียวกันกับแบรนด์ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากดอกทูเบอร์โรส ดอกไม้สีขาวชวนหลงใหล
วันนี้กลิ่นหอมในตำนานที่นำเสนอ “ดอกไม้ดอกแรก” ของ Chloé ถูกเปิดตัวอีกครั้งในชื่อ Tuberosa 1974 ในรูปแบบที่เปี่ยมมนตร์สะกดที่สุด กลิ่นทูเบอร์โรสใหม่เผยกลิ่นหอมแบบเนียนนุ่มราวกำมะหยี่ เข้มข้นแบบเนื้อครีม เจือกลิ่นหอมหวานของน้ำผึ้ง ชวนให้นึกถึงความอ่อนโยนของผู้หญิงสไตล์ฝรั่งเศสที่มีเสน่ห์แบบ “บอกไม่ได้เหมือนกันว่าเพราะอะไร” (je ne sais quoi) และสื่อถึงความเป็น Chloé ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
จากคอลเลคชั่นที่มีอยู่แล้ว 12 กลิ่น เราขอแนะนำ 3 กลิ่นใหม่ที่สร้างสรรค์โดยนักปรุงน้ำหอมชื่อดังในวงการ ด้วยแรงบันดาลใจจากกลิ่นที่เคยสัมผัสมาในอดีต เกิดเป็นกลิ่นหอมเปี่ยมด้วยเอกลักษณ์ซึ่งผ่านการตีความขึ้นมาใหม่จากกลิ่นดอกไม้ในดวงใจของแต่ละคน
นับจากเริ่มเปิดตัว Atelier des fleurs แสดงถึงความมุ่งมั่นของ Chloe ที่จะใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติ และความจริงใจผ่านการใช้ชื่อตามหลักพฤกษศาสตร์ (botanical names) และส่วนผสมที่มาจากพืชพรรณ วันนี้เรายังคงเดินหน้าต่อไปด้วยความตั้งใจเดิม จากส่วนผสมที่เปิดเผยข้อมูลอย่างเต็มที่ 3 กลิ่นใหม่ของเราคือความสำเร็จอีกขั้น เพราะทำมาจากกลิ่นหอมซึ่งมีที่มาจากธรรมชาติ 100%, ดอกไม้ที่เป็นส่วนผสม (ดอกกระดังงา, ดอกนาร์ซิสซัส และดอกไอริส) ผ่านกรรมวิธีการปลูกอย่างรับผิดชอบ และบรรจุภัณฑ์ที่ผ่านการดีไซน์ใหม่ให้ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้มากขึ้นด้วย
ไร้การปรุงแต่ง
โดดเด่นด้วยความหรูหราไม่เหมือนใคร Chloé เผย 3 กลิ่นหอมใหม่ที่ทำมาจากธรรมชาติ 100% พร้อมส่วนผสมที่น่าทึ่งอีกระดับ เมื่อนักปรุงน้ำหอมเลือกใช้ได้เพียงที่มาจากธรรมชาติทั้งหมดเท่านั้น
ด้วยส่วนผสมอันประกอบด้วยกลิ่นหอมที่มาจากธรรมชาติ100%,แอลกอฮอล์สกัดจากธรรมชาติ*Narcissus Poeticus, Iris และ Ylang Cananga คือน้ำหอมในสไตล์วีแกน (vegan) ที่ปราศจากสารคัดกรอง สารแต่งสีสังเคราะห์ มีเพียงวัตถุดิบคุณภาพสูงที่คัดเลือกมาอย่างพิถีพิถัน
3 กลิ่นหอมใหม่มาในขวดแก้วลายอัดพลีทที่คุ้นเคยกันดีจาก Atelier des fleurs ต่างออกไปเพียงฉลากที่มาในสีสนิมเขียว (verdigris) แรงบันดาลใจจากโลกแห่งพืชพรรณ
แม้เสน่ห์จะยังคงเดิมแต่วัตถุดิบที่ใช้พัฒนาไปอีกขั้น บางส่วนของขวดและกล่องทำจากวัตถุดิบที่ผ่านการรีไซเคิลมาแล้ว (10% และ 40% ตามลำดับ) นอกจากนี้ Chloé ยังเปลี่ยนการพิมพ์ฉลากจากวิธีปั๊มฟอยล์ด้วยความร้อน เป็นวิธีอื่นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย
NARCISSUS POETICUS ออกแบบโดย Philippine Courtière
สดชื่นและมีกลิ่นแป้งจางๆ Narcissus Poeticus คือความทรงจำอันแสนสุขของความรื่นรมย์ในฤดูใบใม้ผลิ เท่าที่ ฟิลิปปิน กูติแยร์ จำความได้ ดอกนาร์ซิสซัส คือดอกไม้แรกที่เธอหลงรัก และความรักนั้นเริ่มตั้งแต่ยังเยาว์วัย เมื่อเธอไปเดินเล่นที่สวน Jardin du Luxembourg กับคุณยาย แล้วเก็บดอกไม้ที่มีกลิ่นน้ำผึ้งอ่อนโยนนี้มาทำช่อดอกไม้ ดอกนาร์ซิสซัสของเราเก็บเกี่ยวมาจากในประเทศฝรั่งเศส ด้วยกรรมวิธีที่เน้นความมีจริยธรรม และยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม
IRIS ออกแบบโดย Steve Guo
ท่ามกลางเทือกเขาแอตลาส (Atlas Mountains) ในประเทศโมร็อกโก คือสถานที่ที่ สตีฟ โกว ค้นพบความงามและความซับซ้อนในกลิ่นของดอกไอริสเป็นครั้งแรก มันคือดอกไม้ที่เปี่ยมไปด้วยเอกลักษณ์ รักแสงแดด และมักขึ้นเรียงรายตามเนินเขาและที่ราบสูงให้งดงามด้วยสีน้ำเงินอมม่วง หลังจากการเก็บเกี่ยว รากของมันจะถูกนำไปตากแห้งเป็นเวลาหลายเดือนในถุงปอกระเจาขนาดใหญ่ เพื่อให้ปล่อยไอระเหยอันอ่อนโยนชวนหลงใหลออกมา กลิ่นแสนโดดเด่นของมันสร้างความประทับใจให้แก่นักปรุงน้ำหอมของเรา จนเขาปรารถนาที่จะนำเสนอออกมาในรูปแบบน้ำหอมที่ไม่มีใครเหมือน ดอกไอริสของเราเก็บเกี่ยวมาจากในประเทศโมร็อกโก ด้วยกรรมวิธีที่เน้นความมีจริยธรรม และยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม
YLANG CANANGA ออกแบบโดย Serge de Oliveira
บนเกาะโนซีบี (Nosy Be) ในประเทศมาดากัสการ์มีขุมสมบัติอยู่ นั่นคือทุ่งดอกกระดังงาที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา เซิร์จ เดอ โอลิเวรา จำกลิ่นของมันได้ดี ท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่นของความเป็นครอบครัว กลุ่มผู้เก็บเกี่ยวดอกไม้จะเด็ดมันออกมาทีละดอก ด้วยการเคลื่อนไหวที่แม่นยำ คล่องแคล่ว และเป็นจังหวะจนแทบจะดูราวพวกเขากำลังเต้นรำอยู่ จากนั้นแต่ละคนจะวางดอกกระดังงาลงในตะกร้า ส่งกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ที่เป็นแรงบันดาลใจให้นักปรุงน้ำหอมของเราอยากจะสร้างสรรค์กลิ่นที่เร้าอารมณ์ เนียนนุ่ม และกรุ่นแสงอาทิตย์นี้ออกมา ดอกกระดังงาของเราเก็บเกี่ยวมาจากในประเทศมาดากัสการ์ด้วยกรรมวิธีที่เน้นความมีจริยธรรมและยั่งยืนต่อสิ่งแวดล้อม
*แอลกอฮอล์แปลงสภาพ (denatured alcohol)
สาวๆ ที่สนใจก็ไปจัดกันได้ที่เคาน์เตอร์น้ำหอม และที่ Sephora รวมทั้งช่องทางออนไลน์ ขนาด 50ml ราคาเริ่มต้น 5,440 บาท และขนาด 100ml ราคาเริ่มต้น 10,000 บาท แต่ละกลิ่นคือดีงามมากกก ยิ่งฉีดผสมกันหลายกลิ่นยิ่งหอมค่ะ โคลเอ้จะสร้างกลิ่นมาให้เบลนด์เข้ากันได้อย่างลงตัว เหมือนเราปรุงน้ำหอมกลิ่นของตัวเองค่าาา ดีงามน่าจัดขนาดนี้ สาวกน้ำหอมจัดไป!