เมื่อวันที่ 9 เดือน 9 ปี 2014 Apple ได้จัดงานแถลงข่าวเปิดตัว iPhone 6 และ iPhone 6 Plus สมาร์ทโฟนที่ทุกคนเฝ้ารอมาเนิ่นนาน ซึ่งก็มีภาพหลุด ภาพเดาถูกปล่อยออกมามากมาย จนหายตื่นเต้น แต่ที่เราตื่นเต้นเป็นที่สุดก็คือ Apple Watch คร่าาา สาวก Apple แทบคลั่งเพราะยังจะไม่วางขายในปีนี้ แต่จะวางขายในปี 2015 ค่ะ
เจ้า Apple Watch ตัวนี้มีความสามารถเกินกว่าจะเป็นนาฬิกา ซึ่งแค่รูปลักษณ์ภายนอกก็ดูดีมีสไตล์ตามแบบฉบับของ Apple เป๊ะ! (แต่ถ้า Steve Jobs ยังอยู่คงสวยกว่านี้สินะ) เป็นหน้าจอสี่เหลี่ยมขอบมน มีให้เลือกด้วยกัน 2 ขนาด คือความสูงที่ 38 มม. และ 42 มม.
ตัวเรือนถูกผลิตด้วยโลหะพิเศษ ที่ผสมระหว่างสแตนเลสสตีลและอลูมิเนียม และอีกแบบคือโลหะผสมกับทองคำ 18 กะรัต มาในสีเยลโลว์โกลกับโรสโกล สีสวยมากกกกก
แต่ยังไม่พอค่ะ พอเห็นแบบสายให้เลือกเท่านั้นแหละ แทบกรี๊ด เพราะวัสดุหลากหลาย และสีที่มีมากมายให้เลือกจนตาลาย (สามารถเปลี่ยนสายได้) หลักๆแล้วมีอยู่ด้วยกัน 3 สไตล์ค่ะ
หน้าจอถูกผลิตด้วยผลึกแซฟไฟร์ ที่มีความคงทนแข็งแรง และในรุ่น Sport ยังมีการเคลือบด้วย Ion-X เพื่อเสริมความแข็งแกร่งอีกด้วย และหน้าปัดที่มีให้เลือกเปลี่ยนเองได้ตามใจชอบ ทั้งรูปแบบของนาฬิกาเข็ม นาฬิกาดิจิตอล สีของของตัวเลข-ตัวหนังสือ แบ็คกราวด์ และกราฟฟิคต่างๆ สามารถเปลี่ยนได้ตามแต่ใจจะปรารถนาเลยค่ะ
จุดเด่นของตัวเครื่องที่เห็นได้ชัดเลยก็คือเม็ดมะยม ที่มีชื่อว่า “ดิจิตอลคราวน์” เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยในการซูม เลื่อน และกดเพื่อกลับสู่หน้าโฮม ดิจิตอลคราวน์มีความสำคัญมากในการซูม เพราะด้วยหน้าจอที่เล็ก ทำให้ไม่สามารถใช้สอง 2 นิ้วในการซูมได้อย่างถนัดเหมือนอย่าง iPhone
หน้าจอทัชสกรีนที่ไวทุกสัมผัส และมีความยืดหยุ่นทำให้ Apple Watch จะสามารถรับรู้ได้ในทันทีว่า นี่คือแตะ หรือว่านี่คือการกด เพื่อความง่ายต่อการใช้ Apps ต่างๆ เรียกได้ว่าจออัจฉริยะมากค่ะ
มาดูที่หลังตัวเรือนกันบ้างนะคะ ข้างหลังมีเซ็นเซอร์มากมายที่น่าสนใจทีเดียว หลังตัวเครื่องจะมีสิ่งที่ Apple เรียกว่า Taptic Engine คือเซ็นเซอร์ที่จะคอยทำหน้าที่เตือนเราด้วยการสั่น เวลามีอะไรเข้ามา เช่น ข้อความ อีเมล หรือแจ้งเตือนต่างๆ ทำงานร่วมกับลำโพงตัวจิ๋ว ที่จะคอยส่งเสียงออกมาเบาๆ ไม่ให้เราตกใจจนสะดุ้ง เหมือนของ iPhone และตัวนี้สามารถทำให้เราสื่อสารกับผู้ที่มี Apple Watch ด้วยกันได้ ด้วยการสะกิดไปที่อีกเครื่อง เครื่องนั้นก็จะสั่นขึ้นมา โอ้ยยย เอาไว้แอบสะกิดคนข้างๆได้นะคะ
นอกจากนี้ยังมีเซ็นเซอร์ที่คอยจับสัญญาณการเต้นของหัวใจ ตลอดเวลาที่เราใส่นาฬิกา เซ็นเซอร์จะทำงานร่วมกับ GPS และ Wi-Fi เพื่อตรวจจับทุกการเคลื่อนไหวในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการลุกขึ้นยืน เดิน วิ่ง หรือออกกำลังกายอย่างจริงจัง
และที่หลังตัวเรือนนี้เองคือที่ชาร์ตแบตฯค่ะ เพียงแค่เอาหัวชาร์ตมาใกล้ๆกับด้านหลังเรือนนาฬิกา แม่เหล็กก็จะจัดการดูดติดเข้าหากันเอง โดยที่เราไม่ต้องเล็ง ไม่ต้องวัด หรือไม่ต้องมีแสงสว่างเลย ซึ่ง Apple กล่าวไว้ว่า “สามารถชาร์ตแบตฯได้ แม้ยามครึ่งหลับครึ่งตื่น” อะไรจะง่ายปานนั้น เริ่ดค่ะ |
มาดูที่โปรแกรมกันค่ะ ว่าเครื่องนี้สามารถทำอะไรให้เราได้บ้าง
1. รับส่งข้อความ โทรศัพท์ และรับส่งอีเมล 2. สื่อสารด้วยการส่งสัญลักษณ์ น่ารักๆ 3. จับทุกการเคลื่อนไหว 4. ช่วยเก็บข้อมูลการออกกำลังกาย 5. ดูปฏิทิน 6. ดูแผนที่ 7. เก็บบอร์ดดิ้งพาส ตั๋ว บัตรต่างๆ 8. ฟังเพลง 9. ใช้ควบคุม Apple TV และ iTune บน Mac หรือ PC ก็ได้ 10. เป็นรีโมทกล้อง 11. เป็นนาฬิกาจับเวลา นับเวลาถอยหลัง 12. เช็คหุ้น 13. เช็คสภาพอากาศ 14. คลังภาพสำหรับดูรูป 15. เล่น Apps ต่างๆ
ทำงานได้แค่ 15 ข้อเท่านั้นเอง เกร๋ๆ แล้วพอตัวเครื่องออกมาก็ |
|
นวัตกรรม Apple Watch ถือเป็นนาฬิกาที่ฉลาดที่สุดในขณะนี้ และมีชื่อเล่นน่ารักๆว่า “Smart Watch” ถ้าเทียบกับนาฬิกาในประเภทเดียวกันแล้ว ถือเป็นเรือนที่ฉลาดที่สุดและแพงที่สุด แต่จริงๆก็ยังไม่มีเรือนไหนที่สามารถทำงานได้เทียบเท่า Apple Watch ถือได้ว่าเป็นการเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของนาฬิกาเลยทีเดียว
ราคาเริ่มต้นของ Apple Watch อยู่ที่ $349 ซึ่งเรือนที่ผสมทองคำก็คงจะแพงขึ้นไปตามราคาวัตถุดิบ เริ่มวางจำหน่ายในต้นปี 2015 เก็บตังค์รอได้เลยคร่าาาา คาดว่าสาวก Apple คงจะไปต่อคิวรอซื้อกันอีกเช่นเคย ไม่ว่าจะต้องเสียเวลาขนาดไหนก็ตาม
ข้อมูลและภาพจาก www.apple.com/th/watch