การเลือกสถานที่ทำงานก็คล้ายๆกับการเลือกคู่สมรสนั่นแหละค่ะ เราต้องเลือกให้เหมาะทั้งตำแหน่ง ความรับผิดชอบ นิสัยใจคอเพื่อนร่วมงาน สถานที่ทำงาน ค่าจ้าง ต้องเลือกหลายๆอย่างมาประกอบกัน เอาที่เหมาะกันไลฟ์สไตล์เราด้วย เพื่อความสบายกาย สบายใจเราต้องตัดใจเลือก แต่ตอนแรกเราไม่รู้ไงว่าเข้ามาแล้วจะเป็นแบบนี้! บางอย่างเราเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องทน (เพราะไปที่อื่นก็อาจจะต้องเจอเหมือนกัน) และบางอย่างเราไม่จำเป็นต้องทน ถ้าทนไม่ไหวก็ควรลาออก แล้วเพราะอะไรล่ะที่เราควรจะลาออก เฟียร์ซมี 10 เหตุผลที่ควรลาออกจากงานมาฝากค่ะ
1. ตื่นมาแล้วรู้สึกว่าไม่อยากไปทำงาน ติดกันซ้ำๆมากกว่า 1 เดือน
Image source : giphy.com
ทุกๆครั้งที่ตื่นนอนขึ้นมาในตอนเช้า แล้วรู้สึกแบบนี้ “เฮ้อ ไม่อยากไปทำงานเลย” ติดต่อกันเป็นเวลาเกิน 30 วัน ให้มั่นใจได้เลยว่าคุณต้องลาออกแล้ว ถ้าเกิดว่ามีคิดบ้างไม่คิดบ้างเป็นบางวัน อย่างนี้ไม่นับค่ะ นั่นเป็นเรื่องปกติมากๆ เพราะบางวันต้องเจอเรื่องเครียด หรือบางวันไม่อยากเข้าประชุมก็อาจจะตื่นมาแล้วคิดแบบนั้นก็ได้
2. นโยบายส่วนตัวสวนทางกับนโยบายส่วนรวม
Image source : giphy.com
ถ้าเข้ามาทำงานที่นั่นแล้วรู้สึกว่า ที่นี่สวนทางกับเราหมด เช่น ถ้าที่ทำงานของคุณสนใจแต่ผลลัพธ์ไม่สนว่าวิธีการเพื่อให้ได้มานั้นเป็นอย่างไร แต่คุณไม่คิดแบบนั้นในตอนแรกคุณอาจจะปรับตัวได้ ทนได้ แต่ในระยะยาวถ้ามันสวนทางกันมากๆเข้า คุณเองกลับจะต้องเป็นฝ่ายเหนื่อยเปล่า อย่าพยายามคิดว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงที่ทำงานได้เลย เพราะมันไม่มีทางเป็นไปได้ค่ะ
3. เข้ากับเพื่อนร่วมงานไม่ได้
Image source : giphy.com
เพื่อนร่วมงานเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราทำงานได้อย่างมีความสุข การที่เรามีทีมคอยสนับสนุนย่อมดีกว่ามีศัตรู ถ้าขัดแข้งขัดขากันนิดๆหน่อยๆ พอเป็นสีสัน ทำให้มีแรงกระตุ้นในการทำงานอันนั้นยังพอโอเค แต่ถ้าทำอะไรก็ขัดคิดถูกก็หาว่าผิด บอกให้ไปซ้ายก็ไปขวาทุกครั้ง อย่างนี้ทีมเราคงจะล่มไม่เป็นท่าแน่ๆ ถ้าเจอเพื่อนร่วมงานแย่มากๆก็อย่าทนค่ะเพราะประสิทธิภาพในการทำงานของเราจะลดลง ต้องเอาสมองมานั่งคิดวิธีเอาคืนทุกวันอย่างนี้ไม่เวิร์คแน่ๆค่ะ
4. ทำอะไรก็ผิด
Image source : giphy.com
ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ผิดไปหมด ไม่รวมกับที่ทำดีแล้วไม่ได้รับคำชมนะคะ อันนั้นถือว่าทำถูกต้องแล้ว ปกติไม่มีใครเขามานั่งเยินยอสรรเสริญกันบ่อยๆนักหรอกแต่ถ้าทำอะไรก็ผิดไปหมด ทำอะไรก็ไม่ใช่ ไม่ถูกต้อง และไม่รู้จริงๆว่าจะทำยังไงให้มันถูกอันนี้สมควรพิจารณาตัวเองว่า “ที่นี่อาจจะไม่เหมาะกับเรา” คุณอาจจะต้องหางานใหม่ค่ะไม่มีใครชอบที่จะผิดซ้ำๆทุกวันหรอกใช่ไหมคะ
5. งานทำให้ห่างออกจากครอบครัว
Image source : giphy.com
อย่าลืมว่าหน่วยย่อยที่สำคัญที่สุดในสังคมเราก็คือ “ครอบครัว” ถ้าคุณจะต้องทำงานเยอะ ทำตลอด 24 ชม. หรือตื่นเช้าไปทำงานทั้งๆที่ยังไม่ได้ทักทายใคร และกลับมาถึงบ้านทุกคนเขาก็หลับกันไปหมดแล้ว แม้เสาร์อาทิตย์ก็ยังต้องทำงาน ไม่ได้พักผ่อนเลย ถ้าเป็นอย่างนี้ซ้ำๆทุกวัน แล้วคุณจะทำงานไปเพื่อใครคะ คุณต้องเลือกงานที่ทำให้มีเวลาส่วนตัวบ้าง อย่าลืมว่าเราทำงานเพื่อให้ตัวเองสบาย ไม่ใช่ยิ่งทำงานยิ่งทำให้ตัวเองลำบากนะคะ
6. งานที่ทำให้สมองเฉยชา
Image source : giphy.com
การที่ต้องออกไปทำงานทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ ทำอย่างนั้นซ้ำๆกันทุกวันเป็นรูทีน โดยที่ไม่มีอุปสรรค์ ไม่มีปัญหาให้แก้ ไม่มีช่องว่างให้เราได้คิดอะไรเลย จนร่างกายเราเคลื่อนไปอัตโนมัติโดยไม่ต้องพึ่งพาสมอง งานแบบนี้ยังสมควรเรียกว่างานอยู่อีกเหรอคะ เราเป็นมนุษย์ที่ต้องใช้สมอง ไม่ใช่หุ่นยนต์ที่ต้องทำงานตามคำสั่งเป๊ะๆ ควรจะออกมาหางานทำที่เสริมสร้างสมองให้เราได้คิดบ้าง ทำบ้าง เหนื่อยบ้าง และดีใจบ้าง ให้พอได้มีสีสันเข้ามาในชีวิต แค่นี้ก็มีความสุขแล้วค่ะ
7. องค์กรไม่เป็นระบบ
Image source : giphy.com
องค์กรที่ทำงานไม่เป็นระบบระเบียบ ระบบจัดการไม่ได้ไหวจะเคลียร์ เช่น กราฟฟิกดีไซเนอร์วันดีคืนดีก็ต้องเป็นแมสเซนเจอร์ นักเขียนบางทีก็ต้องออกบิล, วางบิล, รับเช็ค โดยไม่ได้มีการบอกล่วงหน้าว่าต้องทำ อย่างนี้ถือว่าไม่แฟร์กับลูกจ้างอย่างเราเลย ถ้าจะให้ทำอะไรนอกเหนือจากงานหลัก ก็ต้องบอกให้เรารู้ตัวล่วงหน้า อย่างนี้สิเราถึงจะแฮปปี้ แต่ทั้งหมดทั้งมวลถ้าคุณทำแล้วมีความสุขดี ชอบทำ ชอบจัดการอะไรเยอะๆ ก็จัดไปค่ะ ถือซะว่าได้เรียนรู้งานหลายๆด้าน
8. ได้ค่าจ้างไม่คุ้มกับที่เสียสุขภาพ
Movie : The Wolf Of Wall Street (2013)
การที่คุณต้องทุ่มเทกับงานมากกกกก ดึกดื่นเที่ยงคืนก็ไม่มีย่อท้อ ถ้างานไม่เสร็จไม่ยอมกลับบ้าน รับรองว่าเจ้านายจะต้องปลื้มคุณมากแน่นอน แล้วเงินล่ะ? ได้คุ้มกับที่คุณต้องเสียสุขภาพร่างกายไปไหม เงินเดือนพอที่จะขึ้นแท็กซี่กลับบ้านทุกวันรึเปล่า ณ จุดนี้ต้องคำนวนให้ดี ว่าเงินเดือนสามารถครอบคลุมค่าใช้ทั้งหมดของคุณ แล้วยังเหลือเก็บบ้างรึเปล่า เพราะการทำงานหนักๆแบบนี้ เงินเก็บของคุณจะต้องได้ใช้มาเป็นค่ารักษาพยาบาลแน่นอน
ครั้งหนึ่งดิฉันเคยไปหาหมอเพราะความดันต่ำเลยหน้ามืด คุณหมอทักว่า “คงได้เงินเดือนอย่างต่ำ 50,000 สินะคะ ถึงได้ทำงานหนักขนาดนี้” ตอนนั้นมันเจ็บแปลบในทรวงอกจริงๆ น้ำตาจะไหล เป็นสาเหตุให้ต้องรีบลาออกค่ะ
9. เจ้านายลามก
Image source : giphy.com
สำหรับคุณผู้หญิงบางคนอาจจะไม่เคยเจอ แบบว่าเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานที่ชอบเข้ามาถึงเนื้อถึงตัว แอบโอบไหล่บ้าง เตะมือบ้าง โอบเอวบ้าง หนักข้อไปจนถึงจับก้น มองหน้าอกด้วยตาเป็นประกาย อย่างนี้อยู่ไม่ได้ของจริงค่ะ ในกรณีที่มีวิธีการจัดการฟ้องได้ รายงานพฤติกรรมได้ ก็ให้ทำทันทีแต่ถ้าทำแล้วไม่เกิดผล เราเปลี่ยนแปลงองค์กรไม่ได้จริงๆ ก็ต้องออกค่ะ เพราะการล่วงละเมิดทางเพศแค่ด้วยวาจาและสายตาก็ถือว่าไม่โอเคแล้ว อย่าไปทนและอย่าเสียดายงานค่ะ คิดซะว่า “ถ้ามีคนอย่างนี้อยู่ในองค์กร ไม่นานต้องล่มจมแน่ๆ”
10. เรื่องรักสามเศร้า
Image source : giphy.com
การทำงานในออฟฟิศมันก็ต้องมีบ้างเรื่องรักใคร่ๆ แล้ววันหนึ่งถ้าจะต้องเปลี่ยนสถานะจากแฟนเป็น “แฟนเก่า” หรือจากเพื่อนร่วมงานเป็น “แฟน” อันนี้ถ้าคุณมีความสามารถจัดการได้ ก็ไม่เป็นไรถือว่าเอาอยู่ แต่ถ้าคุณกำลังจะเปลี่ยนสถานะจากเพื่อนร่วมงานไปเป็น “กิ๊ก” หรือ “เมียน้อย” อันนี้ดิฉันขอค้านสุดแรงตั้งแต่แรกเลยว่าอย่าเด็ดขาด! แต่ถ้าคุณเพิ่งมารู้ที่หลังว่าคุณจะต้องใช้สถานะนั้น แล้วอยากจะยุติความสัมพันธ์ บอกเลยว่าคุณอาจจะต้องลาออก เพื่อตัดขาดจากผู้ชาย (หรือผู้หญิง) คนนั้น ถ้าคุณไม่อยากออกคุณก็ต้องทำให้เขา (หรือเธอ) ลาออกไปแทน อย่าปล่อยให้ความสัมพันธ์ค้างคา หรืออย่าคิดว่าตัวเองจะทนได้ เพราะถ่านไฟเก่าอาจจะลุกเป็นไฟได้ทุกเมื่อ และจะทำให้เสียการเสียงานได้ในที่สุดค่ะ
10 ข้อที่ได้กล่าวมานี้ ใครที่กำลังเผชิญอยู่ก็ขอให้ชั่งใจให้ดีๆ ว่ายังทนไหวไหม ลองลิสต์ออกมาดูว่าข้อดีข้อเสียของที่นี่คืออะไร ถ้ามีข้อเสียเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับข้อดีก็อยู่ต่อเถอะค่ะจนกว่าจะได้งานใหม่ที่ดีกว่า เราควรจะหางานใหม่ก่อนออกจากงานเก่าค่ะ ยกเว้นในกรณีที่ฉุกเฉินจริงๆ ไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็อย่าไปทนค่ะ สุขภาพกายและสุขภาพใจสำคัญกว่านะ ดังนั้น เรื่องการออมเงินเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเราไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง ขอให้คนที่ตัดสินใจทนต่อโชคดีและขอให้ได้งานใหม่ไวๆสำหรับคนที่ตัดสินใจไม่ไปต่อค่ะ!
Cover image : personaltrainernorthants.co.uk