เชื่อว่าตอนนี้หลายๆคนคงเฝ้าระวังตัวกันเพราะเรื่องโรคโควิด-19 กันอยู่ใช่ไหมคะ ทั่วโลกดูเหมือนจะได้รับผลกระทบกันหมด และหลังจากหมดวิกฤติการแพร่ระบาดของโลกแล้ว ก็ต้องหาทางรับมือกับวิกฤติเศรษฐกิจที่จะตามมาด้วย แต่ก่อนอื่นใด เราไปดูสรุปสถานการณ์ทั้ง 5 ประเทศกันดีกว่าค่ะว่าต่างประเทศ สถานการณ์เป็นอย่างไรกันบ้าง ไปชมกันเลยค่าาาา

1. ประเทศสหรัฐอเมริกา

(Photo credit: mgronline)

ประเทศแรกที่เราจะพูดถึงเลยก็คือสหรัฐอเมริกาที่ทำท่าว่าจะมีอัตราผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นว่าสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อโรคนี้สูงที่สุดในโลกแล้วค่ะ รองลงมาคือประเทศอิตาลี และสเปน โดยทรัมป์ออกมาตรการป้องกันโดยตอนนี้ให้ประชากรในประเทศได้ทำ Social Distancing ที่จะลากยาวไปจนถึง 30 เมษายน เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด อีกทั้งยังทำการล็อคดาวน์เมืองนิวยอร์กแล้วเพื่อที่จะไม่ให้เชื้อแพร่กระจายไปเมืองอื่น พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นว่า สหรัฐจะฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ภายในวันที่ 1 มิถุนายนนี้

ข่าวดีก็คือวันที่ 1 เมษายนนี้ ทางรัสเซียเองได้มีการส่งสิ่งเวชภัณฑ์และสิ่งของจำเป็นด้านสาธารณสุขจำนวนมากไปยังสหรัฐ เพื่อใช้ในการต่อสู้กับวิกฤติโรคระบาดโควิด-19 ตอนนี้ประชากรที่อาศัยอยู่ในสหรัฐทุกคนพยายามที่จะใส่หน้ากากอนามัยเพื่อที่จะป้องกันตัวเองและผู้อื่น แต่อย่างไรก็ตามทางศัลยแพทย์ใหญ่แห่งสหรัฐได้ออกมาเตือนว่า การสวมหน้ากากอนามัยอาจไม่ช่วยป้องกันผู้คนจากการติดเชื้อ และยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้นไปอีก เพราะว่าคนส่วนใหญ่มักเอามือมาสัมผัสใบหน้าเพื่อขยับหน้ากากอยู่บ่อยๆ และนั้นก็เป็นความเสี่ยงมากขึ้นไปอีกค่ะ แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่มีการออกคำสั่งอย่างเป็นทางการของสหรัฐเรื่องการให้ผู้ป่วยเท่านั้นสวมใส่หน้ากากอนามัย แต่กำลังอยู่ในช่วงพิจารณาอย่างจริงจังค่ะ

อย่างไรก็ตามนายแอนดรูว์ คูโอโม ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์กได้กล่าวว่า เราประเมินไวรัสนี้ต่ำเกินไป มันมีความรุนแรง และอันตรายมากกว่าที่เราคาดไว้ หลังจากนั้นทรัมป์ได้ทำการเตือนให้ทั้งประเทศระวังตัวและรับมือระบาดหนักของโรคโควิด-19 ในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้านี้ด้วย ถือได้ว่าโรคระบาดนี้สร้างความเสียหายให้อเมริกาไม่น้อยเลยทีเดียวค่ะ

2. ประเทศอิตาลี

(Photo credit: posttoday)

เรามาถึงประเทศที่ 2 กันบ้าง ที่มีผู้เสียชีวิตเป็นอันดับที่ 1 ของโลก ไม่น่าเชื่อเลยว่าโรคโควิด-19 นี้ จะแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วภายในประเทศอิตาลี แม้ตอนนี้จะมีการควบคุมโรคอย่างเข้มงวด แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในช่วงแรกของการระบาด ทางอิตาลีมีมาตรการแบบหลวมๆ ซึ่งไม่ทันการ และเมื่อทุกอย่างลุกลาม จนตอนนี้ยากที่จะควบคุม เนื่องด้วยเป็นประเทศที่เป็นระบบแบบเสรีนิยม ทำให้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะควบคุมทุกอย่างได้ตามกฎเกณฑ์

อิตาลีต้องทำการปิดประเทศแบบอัตโนมัติเรียบร้อยแล้วเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาด ทำให้คนภายในปประเทศศูนย์เสียรายได้อย่างมาก นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของประเทศอิตาลีเลยทีเดียวค่ะ และด้วยหลายๆสาเหตุในข้างต้น ภาคใต้ของทางอิตาลีได้ทำการตรวจเข้มที่ร้านค้าต่างๆเพราะอาหารถูกปล้น เนื่องจากอาหารคลานแคลนภายในบางพื้นที่

ในส่วนของทางโรงพยาบาลก็น่าเป็นห่วง เพราะทางอิตาลีเองได้ออกมายอมรับว่าระบบสาธารณสุขของประเทศไม่สามารถรับมือกับวิกฤติโรคโควิด-19 ได้ เหตุปัจจัยที่สำคัญเลยคือการที่อิตาลีคลาดแคลนบุคลากรการแพทย์และเวชภัณฑ์ที่จำเป็นในการรับมือ และยังเคยถึงขั้นต้องเลือกรักษาผู้ป่วย อีกทั้งต้องตัดสินใจว่าจะให้ผู้ป่วยซึ่งมีอาการในระดับใดที่ต้องได้รับโอกาสใช้เครื่องช่วยหายใจ

ท้ายที่สุดตอนนี้มีข่าวดีและข่าวร้ายออกมาพร้อมกันคือ การแพร่ระบาดของอิตาลีในวันจันทร์ที่ผ่านมา มีคนติดเชื้อคิดเป็นเปอร์เซ็น คือ 2.2 ซึ่งเป็นค่าที่น้อยที่สุดนับตั้งแต่มีการระบาดแต่ก็ยังไม่ถือว่ารับมือได้ดี ส่วนข่าวเศร้าที่น่าสลดใจก็คือ มีคุณหมอติดโรคนี้และเสียชีวิตเพิ่มขึ้นเป็น 63 รายแล้ว ถือเป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆค่ะ

3. ประเทศสเปน

(Photo credit: matichon)

ประเทศที่ 3 ที่เราจะพูดถึง ต้องบอกว่าเหตุการณ์ร้ายแรงตามมาติดๆ อ้างอิงจากเว็บไซต์ worldometers ในวันที่ 30 มีนาคม ได้เผยข้อมูลออกมาว่า ภายในวันเดียวที่ประเทศสเปน ได้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นถึง 7,846 คน ยอดรวมผู้ติดเชื้อสะสมกว่า 87,956 คน ทำให้เป็นประเทศที่มีผู้ติดเชื้อไวรัสตัวนี้มากเหลือเกินค่ะ

อย่างไรก็ดี ทางประเทศจีนได้มีการบริจาคหน้ากากอนามัยให้สเปนโดยมูลนิธิแจ็ค หม่า และมูลนิธิอาลีบาบา ประมาณ 500,000 ชิ้น เพื่อใช้ในการเตรียมในการรับมือกับโรคระบาด ตอนนี้ทางประเทศสเปนได้มีการปิดประเทศ และออกมาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชากรเรียบร้อยแล้ว

4. ประเทศเยอรมัน

(Photo credit: thaipublica)

หลังจากที่นายกรัฐมนตรีทางเยอรมันออกมาบอกว่า เกิน 70% ของคนในประเทศจะติดเชื้อไวรัสโควิด-19 แต่ต้องบอกว่าการรับมือค่อนข้างดีพอสมควรเพราะในตอนนี้ถึงแม้ผู้ติดเชื้อจะอยู่ที่หลักหมื่น แต่จำนวนของประชากรที่เสียชีวิตเพียงหลักร้อยเท่านั้น นับได้ว่าเป็นอัตราที่น้อยมากๆ

แต่เมื่อวันที่ 28 มีนาคมนี้ ก็ได้มีข่าวร้ายออกมาว่า นายแชเฟอร์ รัฐมนตรีคลังรัฐเฮ็สเซินได้ทำการฆ่าตัวตายโดยถูกพบเป็นศพบริเวณรางรถไฟความเร็วสูงที่เมืองโฮคไฮม์ที่อยู่ระหว่างเมืองแฟรงค์เฟิร์ตและไมน์ส  คาดว่าเหตุเพราะความเครียดและวิตกกังวลอย่างสูงต่อการหาหนทางแก้ไขสถานการณ์ปัญหาเศรษฐกิจเกิดขึ้นหลังการระบาดของโรคโควิด-19

ในเดือนเมษายนนี้ นักวิจัยเยอรมันจะทำการตรวจแอนตีบอดี้ครั้งใหญ่เพื่อเก็บข้อมูลประชากรที่มีภูมิคุ้มกันโควิด-19 เพื่อพัฒนาชุดตรวจให้มีความแม่นยำมากขึ้น เพื่อคุมสถานการณ์ในเยอรมันให้เบาบางลง ประชากรจะได้ไม่ถูกคุมเข้มอย่างเช่นทุกวันนี้ค่ะ

5. ประเทษอังกฤษ

(Photo credit: thairath)

อังกฤษเองก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่มีมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาล เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ติดเชื้อเพิ่มมากจนระบบสาธารณสุขแห่งชาติไม่อาจรองรับไม่ไหว

ก่อนหน้านี้มีข่าวออกมาว่านายกรัฐมนตรีบอริส จอร์นสัน ได้ติดเชื้อโควิด-19 แล้ว หลังจากนั้นนายกรัฐมนตรีได้ทำการส่งจดหมายให้กับชาวอังกฤษ เนื้อความในจดหมายคือ “เรารู้ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายลงก่อนจะดีขึ้น ในช่วงเวลาภาวะฉุกเฉินแห่งชาตินี้ ผมขอร้องล่ะครับ กรุณาอยู่กับบ้านเพื่อคุ้มครองเอ็นเอชเอสและคุ้มครองชีวิตตัวเอง”

เมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมานี้ ทางอังกฤษได้เผยว่า ตอนนี้การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าในอังกฤษกำลังชะลอตัว ด้านรมช.สาธารณสุขเผยว่า สามารถตรวจสอบแอนติเจนของประชาชนได้ 10,000 คนต่อวัน แต่เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาสามารถตรวจได้เพียงแค่ 7,000 คนเท่านั้น ซึ่งรัฐบาลหวังว่าจะตรวจสอบได้วันละ 25,000 คนภายใน 2-3 สัปดาห์ข้างหน้านี้

ทั้งหมดนี้ก็เป็นสรุปรวมสถานการณ์ทั้งหมด 5 ประเทศที่น่าจับตามองนะคะ หลายๆที่มีการชะลอตัวการติดเชื้อแล้ว แต่เหนือสิ่งอื่นใด ขอให้ทุกคนระวังตัวเองให้ดีนะคะ